Thailand The Military And The Monarch 9014
ทหารกับสถาบันพระมหากษัตริย์ The Military and the Monarch
6 มีนาคม 2559หลักเมืองออนไลน์รักษ์เอกราช
ประวัติศาสตร์ชาติไทยที่มีการบันทึกมาตั้งแต่อดีตตราบจนปัจจุบันได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะก่อร่างสร้างชาติท่ามกลางมรสุมแห่งภัยคุกคามรอบด้านอันเกิดจากการใช้กำลังบังคับ หรืออันเกิดจากการรุกรานของชนชาติพันธุ์อื่นในหลายครั้งที่ประเทศไทยต้องล้มลุกคลุกคลานจากการสูญเสียพื้นที่ เขตแดนจากการถกูกระทำทารณุกรรมหรือจากการสูญเสียความมั่นคงของชาติ แต่ในที่สุดแล้วประเทศไทยก็สามารถสร้างชาติสร้างอาณาเขตและรักษาอธิปไตยจนยืนหยัดมาให้อนุชนรุ่นปัจจุบันได้มีผืนแผ่นดินที่มีเอกราชผืนนี้ไว้เป็นบ้านเป็นเมือง การสร้างชาติของไทยได้กระทำการรบป้องกันประเทศและรักษาอธิปไตยมาโดยตลอด เมื่อเป็นเช่นนี้ประชาชนชาวไทยจึงต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นทั้งราษฎรและเปน็นกัรบในเวลาและโอกาสอันสมควร ซึ่งผู้นำสูงสุดของประชาชนในอดีตและต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นแม่ทัพใหญ่ในการ รักษาเอกราชและประชาธิปไตยคือองค์พระมหากษัตริย์ที่ดำรงพระราชสถานภาพเป็นจอมทัพ เป็นศูนย์รวมใจของกำลังพลและยังต้องทรงดำเนินพระราชกรณียกิจ เพื่อบำาบัดฟื้นฟูและทำนุบำารุงประเทศในยามที่เสร็จจากศึกสงครามเพื่อยังความเจริญรุ่งเรืองความเป็นปึกแผ่นให้บังเกิดขึ้นในชาติและอำนวยความผาสุกให้บังเกิดอย่างอุดมสมบูรณ์ในมวลหมู่มหาชนชาว ไทยตลอดระยะเวลาและประวัติศาสตร์อันยาวนานของประวัติศาสตร์ ไทยเห็นได้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลักของชาติและเป็นที่ยึดเหยี่ยวชาติไทยของเรามาทุกยุคทุกสมัย ซึ่งพระมหากษัตริย์ไทย แต่ละพระองค์ต่างก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ จึงนำมาสู่การเกิดขึ้นของมิติแห่งความจงรักภักดีอย่างลึกซึ้งของประชาชนชาวไทยทมีต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ และบังเกิดเป็นความตระหนักในการเทิดทูนและเทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมิรู้คลาย
ทหารไทยหรือกองทัพต่างก็มีบทบาทในการสนองพระเดชพระคุณ ในราชการสงครามมาโดยตลอด ซึ่งเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าในการศึก สงครามแต่ละครั้งนั้นตัวชี้ขาดในชัยชนะหรือความพ่ายแพ้คือทหาร มิเพียงแต่ฝีไม้ลายมือหรือความเชี่ยวชาญในเชิงสงครามเท่านั้นแต่สิ่ง ที่มีผลต่อจิตใจและเป็นจุดเปลี่ยนไปสู่ผลการรบนั้นคือขวัญของกองทัพและกำลังใจของทหาร ทั้งนี้เพราะหากทหารทุกคนมีขวัญและกำลังใจที่ดีย่อมนำมาสู่การดำเนินกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและไม่เป็นรอง ใครในการศึก อีกทั้งหากองค์จอมทัพทรงเสด็จพระราชดำเนินมาทรงการศึกด้วยพระองค์เองหรือพระราชทานพรให้แก่กองทัพแล้วไซร้สิ่งที่ตามมาคือความมุ่งมั่นปรารถนาที่จะเอาชนะข้าศึกศัตรูในกลศึก นั้นก็จะทวีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นจนก่อให้เกิดพลังมหาศาลในการเข้า ประจญประจัญข้าศึก จนสามารถต่อตีจนเอาชัยชนะเหนือข้าศึกศัตรู โดยไม่ยากเย็นนักจึงกล่าวได้ว่า ทหารและกองทัพคือจักรแก้วที่ทรง อานุภาพเคียงคู่ในทิพยสมบัติแห่งองค์จักรพรรดิราช ซึ่งเมื่อยามแผลง ไปในทิศทางใดหมู่มวลปัจจามิตรก็จะราพณาสูรไปในทันที หรือกล่าว อีกนัยหนึ่งว่าทหารคืออาวุธอันทรงอานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ที่จะทรงใช้ในการรักษาเอกราชและความมั่นคงของชาติซึ่งจากหน้า
ประวัติศาสตร์ในยุคที่ผ่านมา ทราบว่าทหารและกองทัพได้ร่วมกัน ถวายความจงรักภักดี ถวายพระเกียรติและสนองพระเดชพระคุณองค์ พระมหากษัตริย์ในรัฐกิจและราชกิจต่างๆ ด้วยความมุ่งมั่นศรัทธาและ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณทั้งในยามปกติและยามศึกสงครามโดย มิได้ย่อท้อต่อความยากลำบากแต่ประการใดในขณะเดียวกันที่องค์ พระมหากษัตริย์ ก็ทรงแผ่พระราชอำนาจคุ้มครองรักษาและอำนวย ความสขุใหแ้กท่หารหาญของพระองค์เพอื่ใหด้ำรงชวีติและดำรงสถานะ ได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีในสังคมเพื่อเป็นการตอบแทนความมุ่งมั่น ตั้งใจในการอุทิศและทุ่มเทชีวิตจิตใจปฏิบัติกิจทหารสำหรับสร้างความ เป็นปึกแผ่นของชาติตลอดจนถวายราชกิจด้วยดีเสมอมา
กองทัพและทหารไทยในทุกยุคทุกสมัยจึงมีภารกิจและหน้าที่ใน การพิทักษ์รักษาและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอดซึ่ง เป็นการแสดงออกถึงจิตสำนึกในการตระหนักรู้ถึงพระมหากรุณาธิคุณ ขององค์พระมหากษัตริยาธิราชเจ้าของชาวไทยที่ทรงดำเนินพระราช กรณียกิจสร้างนำให้สามารถดำรงความเป็นชาติอย่างมั่นคงและสร้าง ความผาสุกให้แก่ประชาชนเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่กองทัพและทหารไทย ในปัจจุบันพึงกระทำเพื่อบรรลุภารกิจในการพิทักษ์รักษาและเทิดทูน สถาบันพระมหากษัตริย์ คือ การน้อมนำพระราชดำริและหลักธรรมที่ ปรากฏอยู่ในพระราชกรณียกิจโดยอัญเชิญมาเป็นแบบอย่างเพื่อปฏิบัติ ให้บังเกิดความสุขและความเจริญในสังคมไทย ควบคู่ไปกับการสอดส่อง ดูแลและปกป้องการกระทำของผู้ไม่หวังดีที่อาจส่งผลต่อการล่วงละเมิด สถาบันพระมหากษัตริย์ในทุกรูปแบบ ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดอันพึงกระทำตลอด เวลาหรือทุกขณะจิต คือ ประพฤติตนให้เป็นทหารที่ดีของต้นสังกัดและ เป็นคนที่ดีของสังคมสิ่งนี้คือการแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน อย่างสูงสุดแล้ว
The written history of the Thai Nation indicates that the nation founding efforts were carried out while threats were from all directions.Those threats were either threaten by forces or invasions. At times, Thailand struggled through losing of her territory, suffering from ill treatment and losing national security. However,Thailand had finally been founded with her territory and her sovereignty which has been safeguarded for the Thai descendant in the present to have this independent country as our homeland. The Thai nation founding had been carried out along with combating to defend the country and safeguarding the sovereignty. As such, all Thais were citizen and warriors as appropriate. In the past, the leaders of the people who played an important role as Commander-in-Chief of the national defence forces were the Kings. The Kings whose status was Supreme Commander of the Royal Thai armed forces and spiritual centre the personnel had to carry out duties to restore and maintain the country after the war time for the prosperity and solidarity of the nation, as well as the provision of peace for the Thai people.
Throughout the long history of Thai nation, it is clearly seen that the monarch institution always stands as a principle institution and the center of the nation in every periods. As every kings have the royal grace of immeasurable and unending that bring about the great dimension of deeply loyalty towards the King and the Monarch institution as reflected as the endless respect and honour to the Kings.
Thai military or armed forces all have significant roles in serving His Majesty the King in all warfare. This is undeniable that in each battlefield, the indicating factor for victory or defeat is the soldiers. Not only the excellent fighting skill or the expertise in battle that is influential for every warrior, but also the spirit of the army and courage of all soldier. The morale of the warriors could lead to an effective strategy and become a second to none. Moreover, if the Highest Commander of the Royal Thai Armed Forces takes an action himself or even blessed the army, it will strongly multiply the will to overcome the enemy until they are all easily defeated. It can be said that the military and the armed forces are the powerful Chakram (the ancient throwing weapon) of the great Emperor (ideal universal ruler) which swept the entire enemy away once it is thrown, in other words, the military is the mighty weapon used by the king in order to safeguard the sovereignty and security of the nation.
Pages from history told us that the military and the armed forces have always been strongly loyal and untiringly dedicated to the King’s State’s affairs and duties with wholehearted appreciation of his grace divine both in wartime and peacetime. The King had also enlarged his power to protect and exhilarate his military in order to maintain their honour and dignity in the society, to reciprocate the devotion and sacrifice life and soul in performing military duties for solidarity of the nation, as to carry out mission for the King’s duties.
The military and the Royal Thai Armed Forces have the primary responsibility to safeguard and uphold the Monarchy institution which reflect their gratitude towards the royal generosity of His Majesty the King of Thailand who has performed royal duties for the strength of the nation and harmony among people. Within this respect, to accomplish their mission in safeguarding and upholding the Monarchy institution, the military and the Royal Thai Armed Forces need to embrace His Majesty the King’s initiatives and ethics which are often reflected in royal activities as a model code of conduct in order to bring peace and prosperity to the Thai society, while monitoring and preventing ill-intentioned person from violating the Monarchy. Hence, the best way to show royalty towards His Majesty the King is to conduct oneself as a professional soldier in the unit and a good citizen of the society.
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์ทหารกับสถาบันพระมหากษัตริย์ The Military and the Monarch – หลักเมืองออนไลน์
ศกดให้
https://www.youtube.com/watch?v=vHAYrpKtmj8ปีนี้“เกณฑ์ทหาร”กว่าแสนคน! ‘มิกค์ ทองระย้า’ สมัครทหาร ‘แบม แบม GOT 7’ จับใบดำ-ใบแดง
Isnin, 2 Ogos 2010
KEDAH BUKAN MELAYU?
Salam. Artikel saya pada kali ini adalah ulasan mengenai kenyataan yang dibuat oleh seorang Forumer dalam sebuah Forum. Dibawah adalah lampiran tulisan Forumer tersebut.
Srivijaya or Sribhoga had became an Empire after 7th C AD when they broke into Suvarnabhumi (Malayan Peninsula-Southern Thai old name). It began in Southern Sumatera in Indonesia and their first King is actually a Hindu from ancient India (Vedic period), they had relationship with Sri Lanka and Benggal. In the Indian Tamil Inscription above, you can see that the Kingdom of Srivijaya, Malayur (Malay, Melayu), and Lamuri-Desa are the Kingdoms in Sumatera which is now in Indonesia, at first Srivijaya is only a regional Kingdom but later combined with Malayu Kingdom of Jambi, among the dynasty in Malayu Kingdom is Shailendra dynasty, some people speculated that the dynasty is actually a foreign dynasty and not native in Indonesia, they possibly ran from Malayan Peninsula as when Funan Kingdom was defeated by Chenlar Kingdom, the whole Kingdoms in South too had to bow to Chenlar, and might be those people are from Funan Royal Court, they might be escaping from prosecution and sailing across the sea to Sumatera.
The Kingdom Malayur language or Bahasa Melayu (dialect) was actually the formal language used as Lingua Franca and administration in Malayan Peninsula, Java Island, and Borneo Island, Southern Philippines, and Southern Thai because of they were under the influence of Srivijaya-Malayu Kingdom. Malay Language was divided into three period, the first period with Hindu-Buddhism influence when the language was influenced by Sanskrit with rich Sanskrit vocabulary, and then Classical Malay which is actually influenced by Persian and Arabic, and later Modern Malay, which is now spoken in Singapore, Malaysia, Brunei, and Indonesia (a version of Malay dialect). Lunggasuka people speak different language which is their own native language. Our language today is the blend of Malay and our ancestor language, Malay ethnic from Indonesia won't understand us entirely when we speak because we have our native words and our dialectical grammar is different from them.
Here are some words in our Kedah Language, they are not Malay nor Thai. People today tend to classify Kedah language as a Malay dialect but many Kedah people refuse it and saying that it is a distinct language influenced largely by Malay, not a dialect. Kedah people too like Khmer people are proud people as we refer ourselves as an ethnic and Malay is a different ethnic , and we revere our Land as it is a Sacred land:
Pra Om, Prang, Moh, Pok, Mak, Anak, Beang, Heang, Kchuboung, Athaan, Kherchai, Thaouk, Yeao, Khrieao, Khunnaiy, Kherngeau, Relaiy, Rompohn, Ph'ung, Khabau, Kherchieau, Khraao, Sertheap (Srahthap), Serdaeng (Sadaeng), Chanahk, Chearouk (Chrouk), Leegarn, Phu'ngkorc, Loolaarc, Jheop, R'ngeath, etc. It is difficult to translate them even into Standard Malay or English because some of them have contextual meaning especially the Verbs, not merely words.
Artikel ini menarik perhatian saya. Setelah channelling siapa penulis artikel ini saya dapat kesan bahawa beliau sama ada memang penyokong siam nai-nai atau salah seorang daripada pendokong setia teori siam nai-nai.
Artikel ini dengan jelas menyatakan bahawa si penulis mengakui bahawa orang-orang Melayu Kedah sebenarnya adalah bukan keturunan Melayu tulin dan adalah berasal daripada suku Mon-Khmer. Menurut beliau lagi sebahagian besar orang Kedah juga menyetujui pendapat beliau dan tidak mengaku sebagai Melayu tetapi adalah etnik Kedah yang lebih dekat dengan etnik Mon-Khmer berbanding Thai atau Melayu. Mereka dikatakan telah diMelayukan oleh kerajaan Malayur dan Srivijaya apabila kerajaan-kerajaan mereka seperti Kedah tua, Gangga negara dan Langkasuka di takluki oleh empayar Melayu-Srivijaya. Persoalannya disini adakah pendapat beliau ini boleh diterima? Adakah benar bahawa sebahagian besar daripada orang Kedah sendiri tidak mengaku bahawa mereka adalah Melayu tetapi adalah Mon-Khmer. Kenyataan beliau ini agak aneh kerana beliau menolak bukti-bukti DNA dan linguistic yang jelas meletakkan orang Melayu Kedah sebagai Austronesia dan bukan Mon-Khmer.
Saya akui berkemungkinan besar ada diantara suku Mon-Khmer yang telah mengalami asimilasi atau peresapan budaya dan bahasa dengan suku Melayu, namun perlu diingat bahawa jika benar orang Kedah adalah Mon-Khmer kerana bahasanya berbeza seperti perkataan-perkataan yang dituliskan dalam artikel tersebut, mengapa orang Kelantan atau selatan thai di sebelah pantai timur berlainan benar dialeknya sedangkan penduduk disini juga adalah dekat dengan Indochina? Jika orang Champa dan Kelantan serta pattani adalah Austronesia apa yang menyebabkan orang Kedah menjadi Mon-Khmer. Hipotesis yang dikemukakan beliau adalah tidak kukuh kerna tidak bersandarkan bukti yang nyata dan hanya tertumpu kepada bukti linguistic sahaja. Itupun belum cukup mantap lagi. Berkemungkinan besar keturunan penulis berkenanaan dan orang-orang kampung beliau adalah memang berketurunan Mon-Khmer yang suatu ketika dahulu pernah berhijrah ke Kedah atau mungkin dibawa oleh pedagang hamba, Itu tidak mustahil.
Teori yang beliau kemukakan ini sama tidak kukuhnya dangan teori anai-anai yang mengatakan bahawa orang Kedah adalah orang Siam. Hanya kerana sebutan perkataan itu berbeza tidak bermakna ianya dari stok atau suku ygng berlainan. Kenyataan beliau dalam artikel ini juga menunjukkan bahawa beliau mempunnyai pemahaman yang amat cetek tentang erti Melayu yg sebenar dan juga lilmu bahasa itu sendiri. Beliau menyatakan bahawa jika orang Melayu asal Indonesia mengedngar pertuturan orang Kedah sudah pasti mereka tidak akan memahaminya...nah, begitu juga kalau mereka mendengar percakapan orang Kelantan dan Terengganu sudah tentu mereka juga tidak akan memahaminya apatahlagi jika mereka mendengar bahasa Pahang yang berbeza mengikut daerah dan aliran sungai.
Bagaimana jika saya sebutkan beberapa perkataan Pahang disini yang pasti orang-orang dari Kedah juga akan menganggap ia adalah bahasa Mon-Khmer: KOI, KEH, KOHOIT, MELENGGEING, PROH, SEDEY, MENGKALA, MENCIPOIT, BABIR, AOK,MOH, MERELOH,MERENOK, PEDOOH,KEKNYE, KEHUT, KEHAK, PEPALEH ect. Begitu juga dengan dialek-dialek suku-suku Melayu yang lain yang banyak di Nusantara ini, adakah kerana ianya berlainan maka anda boleh mengaggap ia adalah bukan dari rumpun Melayu? Tidak, ianya tidak semudah itu untuk mengelaskan sesebuah bahasa . Seorang pakar bahasapun terpaksa berkerja mengkaji bertahun-tahun sesuatu nahu bahasa itu untuk mengkalsifikasikan sesebuah bahasa tersebut.
Bahasa Champa misalnya, jika anda mendengar sekali imbas anda akan seperti mendengar bahasa Thai atau bahasa Khmer malahan anda akan terus menganggap bahawa ia adalah dari rumpun Mon-Khmer, padahal ia telah disepakati oleh pakar-pakar bahasa sebagai bahasa Austronesia atau Melayo –polinesia dan bukan Mon-Khmer. Mungkin intonasinya adalah hampir dengan bunyi Mon-Khmer tetapi perkataannya adalah berbeza. Begitu juga dengan bahasa Acheh, bagi yang tidak pernah mendengar pasti akan merasa pelik dan menggaggap ia bahasa Thai atau khmer padahal ia adalah bahasa rumpun Melayu. Jadi kenyataan beliau yang menyatakan bahawa orang Kedah adalah Mon-Khmer semuanya adalah tidak mempunyai asas yang kukuh dan boleh dipertikaikan. Malahan sehingga sekarang tidak terdapat satu buktipun yang dapat mengukuhkan kenyataan yang didokong beliau bahawa kerajaan Langkasuka menggunakan bahasa Mon-khmer.
Tidak adal stele, prasasti atau manuskrip yang dapat menyokong teori ini, tetapi peliknya anda dapat melihat dengan banyak stele, dan prasasti yang menyatakan mengenai kerajaan Champa dengan bahasanya sekali yang dianggap sama tua atau lebih tua daripada Langkasuka sendiri. Jika benarpun sudah pasti bukan 100% masyarakat yang menguasai kerajaan tersebut adalah Mon-khmer, mungkin kerajaannya berbentuk heterogeneous sepertimana kerajaan-kerajaan Melayu yang lain dimana berlakunya percampuran darah antara Mon-Khmer-Melayu yang akhirnya membentuk masyarakat utara semenanjung tanah Melayu sekarang. Namun ia masih lagi tidak menyelesaikan persoalan saya mengenai mengapa terdapat perbezaan yang begitu ketara diantara dialek pantai timur utara iaitu Pattani, Kelantan Terengganu dengan dialek Kedah perlis sedangkan jika dilihat pada peta pengaruh langkasuka dan Kedah tua, kedua-dua kawasan pantainya iaitu pantai timur dan pantai barat adalah dibawah kekuasaannya? Ini adalah suatu misteri! Jika benar Kedah adalah Mon-Khmer mengapa Pattani dan Kelantan tidak dan mengapa perkataan-perkatan Mon-Khmer ( jika benar ia perkataan Mon-Khmer) yang disebut dalam artikel tersebut tidak terdapat di Kelantan, sedangkan ia adalah dibawah pengaruh kekuasaan yang sama iaitu Langkasuka?? Pelik bukan! Barangkali ada pakar-pakar bahasa atau pakar sejarah yang lebih arif tentang ini boleh memberikan komen atau pendapat serta hipotesis anda.
Rumusannya saya tidak bersetuju dengan artikel berkenaan yang menyatakan bahawa orang Kedah adalah Etnik khas Mon-Khmer. Perbezaan perkataan dan persamaan nya dengan perkataan mon-Khmer berkemungkinan besar adalah daripada cara ambilan atau pinjaman. Jika mahu meletakkan perbezaan ketara dialek sebagai penentu suku bangsa maka dengan mudah kita dapat mengeluarkan suku-suku Melayu yang lain daripada kelompok Austronesia kerana jika anda atau si penulis artikel ini mendengar percakapan Jawa Totok atau Bugis, atau batak, atau Toraja atau Aceh atau dialek Bali maka sudah tentu akan tercengang dan menyatakan bahawa suku-suku ini bukan Melayu dan berasal dari Mon-khmer juga. Hal ini kerana bahasa-bahasa ini juga lenggok nya dan banyak perkataan-perkataannya yang tidak terdapat dalam kosa kata bahasa Melayu. Jika sang Forumer masih mahu mempertahankan kenyataan beliau bahawa orang Kedah adalah dari suku Mon-Khmer dan bukan Melayu Austronesia, nampaknya mereka terpaksa menukar status bangsa mereka dalam kad pengenalan dan borang-borang rasmi sebagai peribumi...:) mereka juga perlu diberikan subsidi penuh kerajaan dalam segala aspek keranan mereka sama dengan suku-suku mon-Khmer yang lain yang terdapat banyak di Semenanjung Malaysia ini seperti Jah-Hut, Jakun, Semelai, Senoi, Semak-beri, mah-Meri, Semak Beri, seboi dan banyak lagi suku-suku yang kita orang Melayu sebut sebagai ORANG ASLI...Ya orang asli! mereka inilah suku Mon-Khmer sebenar yang masih ada di Semenanjung Tanah Melayu ini. Mahukah rasanya orang-orang Kedah disamakan dengan mereka ini?..hehe , alamatnya tunggu kiamat la kot...bukan niat saya untuk menghina mereka tapi sekadar gurauan sahaja...:) jangan marah ye orang-orang Kedah. Sekian
MELAYU NUSANTARA: KEDAH BUKAN MELAYU?
อนาคตของสถาบันพระมหากษัตริยในประเทศไทย
DAVID STRECKFUSS
อนาคตของสถาบันพระมหากษัตริยในประเทศไทย
อนาคตของสถาบันกษัตริย์นั้นอย่างน้อยจะถูกกำหนดโดยจุดแข็งและจุดอ่อนของรัชกาลปัจจุบัน ตลอดจนเส้นทางในการสืบสันตติวงศ์ นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในปัจจุบันที่ๆ ซึ่งพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นกษัตริย์ที่ยังทรงพระชนม์ชีพซึ่งครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก เมื่อพระองค์เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติในปี 1946 ซึ่งเป็นระยะเวลาเพียงแค่ 14ปี หลังจากที่ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้ถูกยกเลิกไป สถาบันพระมหากษัตริย์ก็เกือบที่จะถูกครอบงำ ด้วยพลังและอำนาจทางการเมืองใหม่
ในช่วงทศวรรษ 1960 กลุ่มผู้สนับสนุนพระมหากษัตริย์ ด้วยความร่วมมือกับกองทัพไทย ประสบความสำเร็จในการรักษาสถานภาพฐานการเงินของราชวงศ์ ตลอดจนการสร้างความเคารพนับถือให้กับสถาบันพระมหากษัตรย์ ในปี 1973 และ 1992 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเข้ามาเพื่อยุติความรุนแรงทางทหารที่มีต่อกลุ่มผู้ประท้วงที่ต่อต้านการปกครองแบบเผด็จการ ซึ่งเป็นการสร้างบทบาทของพระองค์ในฐานะที่เป็นผู้ชี้ขาดคนสุดท้ายในเวลาที่เกิดวิกฤติ
ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่ห่างไกลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีการประชาสัมพันธ์อย่างแพร่หลายตลอดจนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นานับประการทั่วประเทศที่ตั้งขึ้นมาเพื่อบรรเทาปัญหาความยากจนของพสกนิกรในท้องที่ทุรกันดาร ทำให้พระองค์ถูกมองว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่อุทิศพระองค์เพื่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน สิ่งที่แสดงถึงพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ คือการที่พระองค์ทรงได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มากที่สุดในโลก สิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ที่พระองค์ทรงคิดค้น ตลอดจนพระปรีชาสามารถในด้านศิลปะ ดนตรี และพระราชนิพนธ์ พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในเดือนมิถุนายน ปี 2006 จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชสมบัติครบ 60 ปี ดูเหมือนพระราชพิธีดังกล่าวจะแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการครองราชย์ ประชาชนเรือนล้านหลั่งไหลเข้าสู่กรุงเทพมหานครเพื่อมีส่วนร่วมในงานเฉลิมฉลอง พระราชวงศ์และบุคคลสำคัญจากทั่วโลกต่างก็เดินทางมาร่วมพระราชพิธีนี้เช่นกัน ดูเหมือนในช่วงเวลานั้นซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ได้พิสูจน์ถึงความสำเร็จของรัชสมัยไว้อย่างชัดเจน
แต่เมื่อเดือนกันยายน ปี 2006 ฝ่ายทหารได้ปฏิวัติ ทำรัฐประหาร เพื่อขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางของ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้นของการเลือกโดยสำนักพระราชวังในช่วงเวลาสี่ทศวรรษที่ผ่านมาได้เปิดเผยสถาบันพระมหากษัตริย์ ในขณะที่พระมหากษัตริย์ทรงพอพระทัยกับการสนับสนุนในวงกว้าง ก็มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะของสถาบันแห่งหนึ่งกำลังอยู่ในจุดที่ตกต่ำลงทั้งในแง่ของความนิยมและความชอบธรรม
สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ได้ทรงสั่งสมมาตลอดช่วงรัชสมัยของพระองค์ จะถูกใช้อย่างสิ้นเปลืองได้อย่างไรภายในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี? คำตอบจะเป็นสิ่งที่บอกเราได้มากถึงอนาคตของสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย แม้ว่าจะไม่พิจารณาในประเด็นการสืบราชสมบัติ กลุ่มพลังที่เป็นตัวแทนในการสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์กลับเป็นกลุ่มที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องตกอยู่ในสภาวะวิกฤต เมื่อประเด็นเรื่องการสืบราชสมบัติเกิดขึ้นในสภาวะที่สถาบันพระมหากษัตริย์มีความอ่อนแอ ก็อาจจะส่งผลให้เกิดความวิบัติได้ แต่ไ&
Artikel ini hanyalah simpanan cache dari url asal penulis yang berkebarangkalian sudah terlalu lama atau sudah dibuang :
http://peceq.blogspot.com/2019/01/thailand-military-and-monarch-9014.html